บทความน่ารู้ 'Working Together for Effective Thalassemia Prevention'

Categories: ข่าวประชาสัมพันธ์

Working Together for Effective Thalassemia Prevention*

บรรยายโดย รศ. นพ. ชเนนทร์  วนารักกษ์

คุณอภิรดี  ตรรกไพจิตร

 

ปัญหาธาลัสซีเมียของไทย

ธาลัสซีเมียเป็นโรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมของการสร้างส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง ในประเทศไทยมีผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียซึ่งเป็นพาหะของโรคประมาณร้อยละ 36.9 และมีผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดต่างๆ ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร

ในการตั้งครรภ์ 10,000 ราย จะมีโอกาสมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียรุนแรง 638 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก โดยเฉพาะเขตภาคเหนือจะมีความเสี่ยงต่อการมีทารกที่เป็นโรคสูงที่สุด เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีพาหะของ alpha thalassemia 1 และ beta thalassemia มากกว่าภาคอื่นๆ

หลักในการควบคุมโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง

1. การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้แล้วให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด โดยอยู่ภายใต้การดูแลของกุมารแพทย์หรืออายุรแพทย์อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

2. การป้องกันและควบคุมโรคธาลัสซีเมียไม่ให้มีรายใหม่เกิดขึ้น ในกรณีนี้จำเป็นต้องตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาคู่เสี่ยง ให้คำแนะนำในการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดโดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา

การควบคุมธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงด้วยยุทธวิธีก่อนคลอด

1.  การคัดกรองค้นหาคู่เสี่ยง ประกอบด้วย 2 วิธีหลัก คือ อาศัยการซักประวัติเกี่ยวกับโรคเลือดและการคัดกรองในสตรีฝากครรภ์ทั่วไปที่ไม่ทราบความเสี่ยง ไม่เคยตรวจมาก่อน

2.  การวินิจฉัยก่อนคลอดทางคลินิก คู่สมรสที่มีความเสี่ยงทารกเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงจะได้รับคำปรึกษาและแนะนำเพื่อวินิจฉัยก่อนคลอด ซึ่งในรายที่มีความเสี่ยงต่อ Hb Bart’s ควรตรวจคัดกรองและติดตามด้วยอัลตราซาวน์

3.  การยุติการตั้งครรภ์ ในรายที่ตรวจพบทารกโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง จะได้รับคำปรึกษาและให้ทางเลือกในการยุติการตั้งครรภ์

การประเมินผลการควบคุมและป้องกันโรคธาลัสซีเมีย

การติดตามประเมินผลในโครงการควบคุมและป้องกันโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีแนวทางอยู่ 2 ทางหลัก ได้แก่ประเมินผลกระบวนการและประเมินผลลัพธ์ของเป้าหมายของโครงการ คือ ลดจำนวนทารกแรกเกิดที่เป็นโรค

แนวคิดและความเข้าใจที่ใช้ในการวางแนวทางการประเมินผล

1.  ธาลัสซีเมียเป็นโรคพันธุกรรมยีนเดี่ยวที่ถ่ายทอดโดยยีนผิดปกติแบบยีนด้อย ดังนั้นคู่เสี่ยงจะมีโอกาสที่มีลูกเป็นโรคร้อยละ 25 ตามการถ่ายทอดตามกฎของเมนเดลในทุกการตั้งครรภ์

2.  ต้องทราบอัตราการเกิดโรค อุบัติการณ์ของพาหะเพื่อใช้ในการประมาณการหรือคำนวณจำนวนการเกิดโรครายใหม่

3.  การได้ข้อมูลจำนวนคู่เสี่ยง จำนวนทารกเป็นโรค ถิ่นกำเนิดหรือเชื้อชาติของผู้เข้ารับการตรวจคัดกรอง เพื่อสามารถนำมาวิเคราะห์ย้อนกลับถึงประสิทธิภาพของโครงการ

การติดตามประเมินผล

1. การติดตามผลลัพธ์ที่เป็นกระบวนการในขั้นตอนต่างๆ

2. การติดตามผลลัพธ์ที่เป็นผลผลิต ได้แก่การตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่ และการตรวจวินิจฉัยได้ว่าทารกในครรภ์เป็นโรครุนแรงจากการวินิจฉัยก่อนคลอด

ปัญหาในการควบคุมธาลัสซีเมียของประเทศไทย

1. ความหลากหลายของ screening test และความสับสนในการแปลผล

2. ปัญหาในการแปลผล  diagnostic test ของพาหะเพื่อหาคู่เสี่ยงที่แท้จริงยังมีความสับสนกันอยู่

3. ปัญหาการส่งตัวของผู้ป่วยมาเพื่อทำการวินิจฉัยก่อนคลอด บางรายไม่มีรายละเอียดของผลการคัดกรอง การให้คำปรึกษาไม่ชัดเจน

4. ปัญหาเชิงจริยธรรม ความไม่พร้อมในการยุติการตั้งครรภ์หรือการทำแท้งเพื่อการรักษา

5. ปัญหาการวินิจฉัยก่อนคลอด ยังมีความหลากหลายในการเก็บตัวอย่างจากทารก

6. ความเสี่ยงจากการทำ cordocentesis เป็นปัญหาที่ต้องนำมาชั่งน้ำหนักกับความคุ้มค่าในการทำ

ทิศทางการควบคุมในอนาคต

      การคัดกรองพาหะยังคงต้องมีทั้ง retrospective และ prospective ความก้าวหน้าในอนาคตคือ การทำให้ทราบสถานภาพของพาหะตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ให้มากที่สุด การวินิจฉัยก่อนคลอดจะมีทางเลือกหลากหลายขึ้นเพื่อให้เหมาะกับความพร้อมของประชากรเป้าหมายที่แตกต่างกัน การให้ความรู้ประชากรมีความสำคัญยิ่ง เป็นปัจจัยนำไปสู่การคัดกรองโดยเร็ว

 

บทบาทของพยาบาลกับโครงการควบคุมและป้องกันโรคธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์

1. การนัดหญิงตั้งครรภ์เพื่อมาฟังผลการตรวจเลือดควรพิจารณานัดตามความเหมาะสมของอายุครรภ์เพื่อให้สามารถให้บริการในขั้นตอนต่อไปได้

2. เมื่อพบว่าผลการตรวจเลือดของหญิงตั้งครรภ์เป็นพาหะโรคธาลัสซีเมีย ให้ติดตามสามีมาตรวจเลือดเพื่อดูว่าเป็นคู่เสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ ถ้าพบว่าเป็นคู่เสี่ยงพยาบาลให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง และต้องทราบว่าเมื่อมีข้อติดขัดจะประสานข้อมูลกับใครเพื่อทำให้การแปลผลคู่เสี่ยงไม่ผิดพลาดและไม่ชักช้าเพราะอายุครรภ์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

3. เมื่อหญิงตั้งครรภ์ได้ทางเลือกการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์แล้ว พยาบาลควรตรวจสอบความเสี่ยงต่อการมีบุตรเป็นโรคอื่นๆร่วม เช่น Down’s syndromeถ้ามีความเสี่ยงร่วมด้วยจะได้ให้คำปรึกษาหญิงตั้งครรภ์ตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมด้วยจากการทำหัตถการ 1 ครั้ง

4. หลังจากหญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดแล้ว พยาบาลที่ดูแลควรติดตามผลการตรวจอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าทารกในครรภ์เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ให้คำปรึกษาแนะนำทางเลือกที่เหมาะสมกับหญิงตั้งครรภ์

 

     จากสรุปบทความจะเห็นได้ว่ามีแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่มีความเห็นว่าธาลัสซีเมียเป็นปัญหาสำคัญทางการแพทย์และสาธารณสุข การแก้ปัญหาโรคธาลัสซีเมียจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ในการดำเนินการควบคุมและป้องกัน ซึ่งแผนการดำเนินการควบคุมและป้องกันโรค ประกอบด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนและบุคลากรทางสาธารณสุข การตรวจหาผู้ป่วยและพาหะ การให้คำปรึกษาแนะนำทางพันธุกรรมและการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์

กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางในการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัยธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติในหญิงตั้งครรภ์และคู่สมรส 3 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1  การตรวจคัดกรอง เป็นขั้นตอนแรกที่มีเป้าหมายหลักในการคัดกรองเอาคนปกติหรือคนที่มีความผิดปกติชนิดไม่รุนแรงออกไป เพื่อจะได้ไม่ต้องตรวจเลือดต่อและเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย คงเหลือแต่ผู้ที่น่าจะมีความผิดปกติของธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินผิดปกติที่เข้าสู่กระบวนการตรวจวิเคราะห์ในขั้นตอนต่อไป

ระดับที่ 2  การตรวจวิเคราะห์ชนิดและปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด (Hb typing) สามารถตรวจวินิจฉัยธาลัสซีเมียที่ไม่ซับซ้อนได้เกือบทุกชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทย ยกเว้นพาหะ alpha thalassemia

ระดับที่ 3  การตรวจวิเคราะห์ระดับดีเอ็นเอ (DNA analysis) ใช้ในกรณีที่ผลการตรวจ Hb typingในระดับที่ 2 ไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ชัดเจน หรือกรณีที่ต้องการทราบชนิดของมิวเตชั่นของธาลัสซีเมียที่วินิจฉัยได้ในระดับที่ 2 และกรณีการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง

 

สรุปความโดย  รศ. อำไพ  จารุวัชรพาณิชกุล

 

*   สรุปความจากการประชุมวิชาการ เรื่อง “ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของมารดาและทารกในครรภ์ (Best Maternaland Fetal Health)” จัดโดยสมาคมเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (ไทย) วันที่ 3-4 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรน์วิว จังหวัดเชียงใหม่

  • 1232